ครุฑ

ตำนาน "ครุฑ "ไทย
   ตามคติไทยโบร่ำโบราณนั้นเชื่อว่า "ครุฑ เป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ มีรูปเป็นครึ่งนกอินทรีย์ ที่ได้รับการประทานพรให้เป็นอมตะ เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพมากมาย มีพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑนี้เอง จึงได้มีมีการรูปครุฑมาเป็นตราประจำแผ่นดิน สืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณกาลทั่วไทย และต่างประเภท พอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
1. ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่วๆ ไป แต่มีปีก
2. ตัวเป็นคนหัวเป็นนก
3. ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
4. ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
5. รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
   เมื่อลักษณะของครุฑแตกต่างกันหลายแบบ จึงทำให้ช่างถ่ายทอดออกมาแปลกแตกต่างกัน โดยเฉพาะนิ้วที่น่าสังเกตคือ ชนิดตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก บางแห่งทำมือเป็นมือมนุษย์มี 5 นิ้ว ส่วนเท้าคล้ายเท้าสิงห์ มี 5 นิ้ว เช่น ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเรือรูปสัตว์เป็นต้น จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ประเทศไทยได้เริ่มนำครุฑมาใช้ เป็นตราประจำแผ่นดิน หรือพระราชลัญจกร ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยได้นำแบบอย่างการใช้ตรามาจากประเทศจีน จากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ได้ปรากฏหลักฐานว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ขุนนางผู้ใหญ่ที่มีสิทธิ์ อำนาจ ให้คำวินิจฉัยต่างก็จะมีตราประจำแผ่นดิน เป็นของตนเอง ซึ่งพระมหากษัตริย์จะเป็นผู้พระราชทานให้ ส่วนพระมหากษัตริย์เองก็ทรงมี ตราประจำพระองค์ โดยที่ไม่ได้มอบหมายให้ใครรักษาไว้ ซึ่งในจดหมายเหตุก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นรูปอะไร แต่พอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็น "ตราครุฑพ่าห์ ที่เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ทั้งนี้เพื่อให้เข้ากับคตินิยม ในสมัยนั้นที่ถือเอาองค์พระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่มีบุญบารมี เทียบเท่าพระนารายณ์ผู้มีครุฑเป็นพาหนะ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในช่วงรัชกาลที่ 2 พระองค์ทรงพระกรุณาให้ใช้รูป "ครุฑยุดนาคเป็นพระราชสัญลักษณ์ ประจำพระองค์ แทนพระบรมภิไธยว่า "ฉิม ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือ พญาครุฑซึ่งในเทพนิยายเทวะกำเนิดเป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่ง แต่ยอมเป็นเทพพาหนะ สำหรับพระนารายณ์ปกติอยู่ที่วิมารฉิมพลี แต่เมื่อเปลี่ยนรัชกาลก็ได้มีการปรับเปลี่ยนตราพระราชสัญจกรใหม่ทุกครั้ง พญาครุฑซึ่งในเทพนิยายเทวะ กำเนิดเป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่ง แต่ยอมเป็นเทพพาหนะ สำหรับพระนารายณ์ปกติอยู่ที่วิมารฉิมพลี แต่เมื่อเปลี่ยนรัชกาล ได้มีการปรับเปลี่ยนตราพระราชสัญจกรใหม่ทุกครั้ง ครั้นพอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมนริศรานุวัตติวงศ์ ทรงเขียนตราครุฑถวายใหม่ โดยไม่ต้องมีพระนารายณ์ และยกนาคออกเสีย เพราะรูปพระครุฑเดิมเป็นครุฑจับนาคเพื่อเป็นอาหาร ส่วนมือที่กางอยู่ให้รำตามแบบครุฑเขมร และดัดแปลงลายกนกเป็นเปลวไฟจนถึงรัชการที่ 6 พระองค์ได้ทรงเห็นว่าตราประจำแผ่นดิน ซึ่งใช้สำหรับประทับกำกับพระปรมาภิไธยในหนังสือสำคัญของแผ่นดินนั้น ต้องสร้างใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนรัชการพระองค์จึงได้ทรงโปรดฯ ให้พระเทวาภินิมมิตต์ (ฉาย ภินิมมิตต์) เป็นผู้เขียนถวาย โดยยังคงใช้ตราครุฑเช่นเดียวกับรัชกาลที่ 5 เพียงแต่เพิ่มพระปรมาภิไธยตามขอบพระราชลัญจกร และเปลี่ยนพระปรมาภิไธยที่ขอบพระราชลัญจกร ให้ตรงตามรัชกาลเท่านั้น พร้อมกับให้ยึดถือเป็นแบบอย่างต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนอกจากภาพครุฑปรากฎอยู่ในเอกสารทางราชการ สถานที่ราชการ และธนบัตร หรือเหรียญที่ระลึกแล้วเรายังคุ้นเคยกับ "ครุฑ ในรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภาพแกะสลัก และปูนปั้นตามหน้าบันของโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ และวัตถุมงคล เป็นต้น หรือแม้กระทั่งบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ บางแห่ง ธนาคารต่างๆ ก็จะมีรูปครุฑ และข้อความว่า "โดยได้รับพระบรมราชานุญาติ ระดับอยู่ด้านหน้าที่เรียกว่า "พระครุฑพ่าห์ หรือเครื่องหมายตราตั้ง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเชื่อถือ และเกียรติภูมิอันสูงสุดที่น้อยรายจะได้รับ เพราะต้องฝ่าระเบียบการขอพระราชทานตราตั้ง ซึ่งได้ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 56 เมื่อปี 2482 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้จะได้รับนั้นจะต้องอยู่ในฐานะนิติบุคคล หรือได้จดทะเบียนแล้ว โดยชอบด้วยกฎหมาย มีฐานะการเงินดี เป็นที่น่าเชื่อถือของมหาชนมาช้านาน ประกอบการค้าขายโดยสุจริต ตั้งมั่นในศีลธรรม ไม่มีหนี้สินรุงรัง นอกจากนี้ยังเคยติดต่อกับกรมกองต่างๆ ในราชสำนักมาก่อน ฯลฯ ส่วนจะได้รับพระราชทานตราตั้ง หรือไม่นั้นสุดแล้วแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงราชดำริเห็นสมควร และเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตินายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ออกหนังสือตราตั้งให้ ดังนั้นตราตั้งดังกล่าวจึงถือเป็นของพระราชทาน เฉพาะบุคคลที่แสดงให้เป็นถึงคุณงามความดี และเป็นเกียรติยศอันล้ำค่าที่จะต้องดำรงรักษาไว้ และข้อมูลดังกล่าว ของสัตว์หิมพานต์ตำนานอมตะ ที่มีประวัติความเป็นมาจากคติความเชื่อของบรรพบุรุษ ได้ถูกสะสมถ่ายทอดเป็นเรื่องราวเล่ากล่าวขาน วิวัฒนาการผ่านกาลเวลาจนกลายเป็นตราประจำแผ่นดินในามของ "พระครุฑพ่าห์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วย คุณค่า ความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งใหญ่อลังการ และสัญลักษณ์สูงสุดสู่ประเทศไทยตราบจนทุกวันนี้